เหตุผลที่เราหันมาทาน Plant Based Diet : My Plant Based Diet Journey

Wicker Basket With Assorted Organic Vegetables And Fruits Isolaแรกเริ่มเดิมที่ก่อนที่จะผันตัวเอง หรือเปลี่ยนวิถีชีวิตหันมาทานอาหารแบบ Plant-Based เหตุผลหลักคือเรื่องสุขภาพ หลังจากทานได้มาสักระยะก็กลายเป็นเรื่องสงสารสัตว์เหล่านั้นไปอย่างจริงจัง สิ่งที่ลำบากใจที่สุดคือการเป็น Vegan แล้วเลี้ยงแมว ชึ่งแมวเป็น “Obligate Carnivores” หรือ สัตว์ที่ดำรงค์ชีวิตด้วยเนื้อ หากขาดเนื้อพวกเค้าก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เราจึงเป็น Vegan ไม่ได้ มีคนแนะนำให้เราหาสัตว์เลี้ยงที่กินหญ้าเช่นพวก กระต่าย อีกัวน่า เต่า พวกนั้นมาเลี้ยงแทน…แต่เราไม่ผูกพันธ์กับสัตว์พวกนั้น และ บอกแบบตรงๆ ว่า ชีวิตของเราอยู่แบบขาดหมา ขาดแมวไม่ได้ พวกเค้าคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ถ้าเราอยู่แบบไม่มีพวกเค้า ชีวิตเราก็คงไม่เติมเต็ม เมื่อเลือกที่จะมีพวกเค้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พวกเค้าคือความรับผิดชอบของเรา ดังนั้นเราก็จะเหมือนกับแม่คนหนึ่ง ซึ่งจะทำทุกอย่างเพื่อลูกรักของตัวเอง ถึงตรงนี้เราเลือกที่จะเลี้ยงลูกแมวของเราด้วยเนื้อต่อไป เพราะถ้าเราไปเปลี่ยนให้พวกเค้าหันมาเป็นแมว Vegan ก็เท่ากับว่าเรากำลังทำทารุณกรรมเค้านั่นเอง ดังนั้นเราจึงยกเว้นตรงนี้ และ เลือกที่จะทาน Plant Based Diet แทน การเป็น Vegan ซึ่งจะต้อง strict มากๆ ถ้าโดยลำพังส่วนตัวเราก็ทำได้นะ แต่เรารักและผูกพันธ์กับพวกเค้ามากเกินกว่าจะให้เค้าหันมาเป็นแมว Vegan ถ้าหากเลี้ยงแมวด้วยเนื้อแล้วบาป เราก็ขอก้มหน้ารับด้çวยความยินดี…..เยิ่นเย้อซะนาน..เข้าเรื่องดีกว่า ^_^

Plant Based Diet และ Vegan คืออะไร ต่างกันยังงัย

**อธิบายยังงัยดี (ha ha!) จะขออธิบายแบบคร่าวๆ ถากๆ แล้วกันเนาะ เอาเป็นว่ามันก็คือ วิถีชีวิต (Life Style) ด้านอาหารการกินอีกรูปแบบนึงที่คล้ายๆ กับมังสริรัติ แต่จะต่างกับมังสริรัติตรงที่ Plant Based และ Vegan จะงดบริโภคผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ทุกชนิด ในขณะที่มังสริรัติจะยังบริโภคไข่ และ นม

** เหตุผลที่คนหันมาใช้วิถีชีวิตแบบ Plant Based และ Vegan ก็จะมีเหตุต่างกันออกไป เหตุหลักๆ ของ Vegan ก็ด้วยเหตุผลต้องการระงับความรุนแรง และ ทารุณกรรมสัตว์ กลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่ม Hardcore Vegan เลยก็ว่าได้ กลุ่มนี้จะเคร่งสุดๆ เลยหล่ะ จะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำจากสัตว์เลย ส่วนกลุ่มที่หันมาทานแบบ Plant Based เพราะเหตุด้านสุขภาพ กลุ่มนี้จะยังคงใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากสัตว์อยู่ เช่นเครื่องสำอางค์ กระเป๋าหนัง อะไรพวกนั้น

**อาหารหลักที่Plant Based และ Vegan ทานก็จะเป็น ผัก และ ผลไม้ (ถ้าเป็นไปได้ก็ขอเป็นออร์แกนิก แต่ถ้าหาไม่ได้ใช้ผักผลไม้ธรรมดาก็ไม่ถือว่าผิดอะไร) ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองและถั่วชนิดต่าง ๆ น้ำมันคาโนล่า น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว ขนมปังโฮลเกรน เต้าหู้ ข้าวบาร์เลย์ มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เหล่านี้เป็นต้นนะคะ และก็มีอีกหลายๆ อย่างที่ Vegan ทานได้ เอาแค่นี้ก็แล้วกันเนาะ….

เหตุผลที่ผันตัวเองมาใช้วิถีชีวิตแบบ Plant Based Diet

เมื่อสมัยอยู่เมืองไทยคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ และ ถึงแม้ว่าในชีวิตจะไม่เคยอ้วนกับเค้า แต่ก็ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย คิดว่าตัวเองช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ จนมาเริ่มทำงานบริษัทแห่งหนึ่งและเค้ามีสวัสดิการให้ตรวจสุขภาพประจำปีฟรีทุกปี เรามั่นใจมากว่าตัวเลขจากการตรวจผลเลือดของเราจะต้องออกมาแบบเพอเฟ็คแน่นอน แต่ผิดคาดคุณหมออริบายเรื่องค่าตัวเลขต่างๆ ให้ฟังถึงได้รู้ว่า ปริมาณไขมันในเลือดแบบเลว (LDL) ของเราสูงปรี้ดมาก พร้อมกันนั้นคุณหมอก็แนะนำเรื่องอาหารการกิน อะไรควรเลี่ยง เรางงมาก เพราะตอนนั้นเราก็ยังเด็ก แถมตัวก็ผ๊อม ผอม ทำไมถึงมีไขมันในเลือดสูง (ทราบภายหลังว่ามาจากกรรมพันธู์) จากนั้นเราก็พยามยามระมัดระวังเรื่องอาหารการกินมากขึ้นกว่าปกติ พยายามเลี่ยงพวกของทอดของมัน ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยทานพวกนี้อยู่แล้ว ก็ถึงขึ้นลาขาดกัน แต่ปัญหาที่ตามมาคือน้ำหนักที่น้อยอยู่แล้วยิ่งน้อยลงไปอีก สุดท้ายก็ต้องหันมาทานอาหารแบบปกติเหมือนเดิมเพื่อไม่ให้น้ำหนักลด

Let food be thy medicineตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมาเราก็ต่อสู้กับเจ้า LDL นี่มาตลอด และไม่เคยชนะมันเลย ในที่สุดเราก็ย้ายมาอยู่อเมริกา การต่อสู้ก็ยังดำเนินต่อไป การมาอยู่อเมริกานั้น วิถีชีวิต และพฤติกรรมการกินก็เปลี่ยนไป ปกติอยู่ที่เมืองไทยเราทานผักเยอะมากๆ ทานพวกเนื้ออยู่ในระดับปานกลาง แต่พอมาอยู่อเมริกา เราทานเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นหลายเท่าตัว และทุกๆ ปีเราจะไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และสิ่งที่น่าตกใจก็คือ ตัวเลข LDL มันพุ่งทะยานมาก ถึงจุดนี้เราก็พยายามระมัดระวังเรื่องการกินมากขึ้น เราเลิกทานอาหารพวก Fast Food ทั้งหมด

ในปีที่ 3 ของการใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกานั้น สุขภาพดูเหมือนว่าจะเสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัด ใน 2-3 ปีต่อมา เราต้องไปผ่าตัดเนื้องอกที่เต้านมถึง 2 ครั้ง และต้องเข้าตรวจทุกๆ 6 เดือน เป็นระยะเวลา 2 ปี ในระหว่างนี้ ต้องทำ MRI ปีละครั้ง

green is good2 ปีผ่านไปทุกอย่างก็กลับเข้ามาเป็นปกติ คุณหมอจึงให้เข้าไปตรวจปีละครั้งตามปกติ ถึงตอนนี้เราก็ต่อสู้กับ LDL อย่างเดียว 1 ปีก็แล้ว 2 ปีก็แล้วไม่เคยชนะมันเลย จนมาถึงปี 2013 ภายนอกทุกคนคิดว่าเราดูดี สุขภาพแข็งแรง เพราะวิ่งกับหมา(โทบี)ได้เป็นระยะยาวๆ และ ใกลๆ ได้แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ในความเป็นจริงก็คือ เราฝืนมากๆ ข้างในเรากำลังต่อสู้กับสิ่งที่เราไม่เคยชนะ ในช่วงนี้ มีหลายๆ อย่างที่เปลียนไปเร็วจนเราสังเกตุเห็นได้ แต่ไม่ยอมรับ จะเรียกว่า in denial อย่างแรงก็ไม่ผิด นอกจากนั้นสิ่งหนึ่งที่เป็นคือ ซึมเศร้าแบบไม่รู้สาเหตุ มีบ่อยครั้งที่นั่งร้องให้แบบไร้เหตุผล นอกจากจะเป็นโรคซึมเศร้าระยะเริ่มต้นแล้ว หัวเข่าเริ่มเจ็บ เวลาขึ้นลงบันไดได้ยินเสียงหัวเข่าลั่นเบาๆ และก็เริ่มปวดที่กระดูกสันหลังช่วงล่าง คิดเอาเองว่าตนเองคงขาดไวตามิน ก็ไปหาซื้อไวตามินเสริมมาทานแต่ผ่านไปหลายเดือนมันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย

จากนั้นเราก็ดำเนินชีวิตแบบเดิมมาเรื่อยๆ จนมาถึงปลายปี 2013 ก็ไปตรวจสุขภาพประจำปีตามปกติ และ LDL ก็สูงปรี๊ดทะลุชาร์ทเหมือนเช่นเคย แต่ปีนี้มีค่า EOS มันสูงขึ้นมาด้วย คุณหมอสั่งให้เก็บอุจาระเป็นเวลา 3 วัน (บรึ๊ย นึกแล้วขนลุก) เพื่อดูว่ามีพยาธิรึเปล่า ผลออกมาไม่มี หมอก็งงหาทางรักษาไม่ถูกเลย เพราะไม่รู้สาเหตุ

ช่วงกลางปี 2014 หน้าอกด้านที่เคยผ่าตัด นั้นดูเหมือนว่ามันจะมีก้อนเนื้องอกออกมาอีกรอบ และมันมีอาการปวดตุ๊บๆ แบบเป็นๆ หายๆ คลำๆ ดูก็จะรู้สึกได้เลยว่ามันมีเนื้อก้อนเล็กๆ ขนาดประมาณเท่าเม็ดถั่วเขียวที่ฟอร์มตัวขึ้นมา แต่เจ้าเม็ดถ่วเขียวเม็ดนี้มันต่างจากเจ้าก้อนเนื้อ 2 ก้อนที่ผ่าออกก่อนหน้านี้ ตรงที่มันมีอาการปวดแบบตุ๊บๆ โดยเฉพาะช่วงจะมีรอบเดือน แต่ตอนนี้เราไม่ต้องการที่จะผ้าตัดอีกแล้ว (สองครั้งก็เกินพอ) บอกกับเคนว่า ถ้าเราจะต้องไปผ่าครั้งที่ 3 ก็ปล่อยให้เราตายๆ ไปดีกว่า ถึงตอนนี้ไม่กลัวแล้วมะเร็ง คิดว่าเป็นพรมลิขีตก็แล้วกัน ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมันจะดีกว่า ถึงตอนนี้ไม่อยากต่อสู้อีกแล้วเหนื่อย

forks over knivesและในช่วงนี้เองเราก็ได้มีโอกาสดูสารคดีเกี่ยวกับสุขภาพ “Forks over Knives” และจะเรียกได้ว่าเป็น eye – opener สำหรับเราเลยก็ว่าได้ มันคือจุดเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตเราอย่างใหญ่หลวงเลยก็ว่าได้ สารคดีนี้เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองคงไม่พ้นจากโรคร้าย เราแนะนำให้ทุกๆ คนที่กำลังประสบกับปัญหาสุขภาพอย่างเราที่ยังไม่ได้ดู ก็ให้ไปหามาดูนะคะ มันอาจจะเป็นทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่ก็เป็นได้ เป็นสารคดีที่ดีมากๆ เลยค่ะ หลังดูจบเราก็ตั้งมั่นว่าจะลองปฏิบัติดูสัก 6 เดือน และในระยะ 6 เดือนนี้เราเลิกบริโภคทุกอย่างที่เกี่ยวกับข้องสัตว์อย่างสิ้นเชิง และ ในขณะเดียวกันเราก็ทำการศึกษาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มไปด้วย และ พอครบ 6 เดือน เราก็ไม่ได้หยุดเรายังคงเดินหน้าปฏิบัติต่อไป และตอนนี้ได้ ลดการดื่มไวน์ และเลิกดื่มกาแฟเพิ่มเข้าไปด้วย (ปกติดื่มกาแฟวันละ 3-5 แก้ว ติดมากๆ) ตอนเลิกกาแฟนี่ยากเช่น กัน เรียกว่ามันยากพอๆ กับเลิกยาเสบติดเลย (รึเปล่า) แต่เราตัดสินใจเลิกแบบหักดิบและก็ทำได้

จากวันแรกที่หันมาทานอาหาร Vegan จนถึงวันนี้ก็เป็นระยะเวลาปีกว่าๆ แล้ว สิ่งที่ได้จากการเปลี่ยนวิถีชีวิตจาก animal based diet (ทานเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก) มาเป็น plant based diet นั้นก็คือ

** 6 เดือนแรก หัวเข่าและหลังที่เคยปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง
** อาการของการเป็นโรคซึมเศร้าที่เคยเป็นมันหายไปแบบไม่เหลือซาก
** เมื่อก่อนทุกครั้งก่อนที่จะมีรอบเดือน จะปวดท้องและปวดหัวแทบเป็นลม ต้องทานยาแก้ปวดเป็นกำๆ ถึงจะเอาอยู่ และมีอารมณ์หงุดหงิดขั้นรุนแรง (PMS?) และมีอาการซึมเศร้าผสมเข้าไปด้วยเสมอ…แต่หลังจากเลิกเนื้อสัตว์ อาการทุกอย่างมันหายไป ยกเว้นแค่ปวดท้องนิดหน่อย ไม่ต้องถึงกับต้องทานยาแก้ปวด จะรู้สึกว่าปวดเล็กน้อยแค่เป็นการเตือนเท่านั้น อาการปวดหัว ซึมเศร้า หงุดหงิด คัดหน้าอกหายไปแบบไม่เหลือซาก บางครั้งรอบเดือนมาแบบไม่รูตัวด้วยซ้ำไป
** เมื่อก่อนเหนื่อยง่ายจะทำอะไรได้ต้องอาศัยการดื่มกาแฟเท่านั้น แต่มาตอนนี้เลิกดื่มพวกเครื่องดื่มผสมคาเฟอินทุกชนิด แต่เรามีพลังงานเยอะมากเป็นพลังงานอันแท้จริงจากอาหารที่เราทาน
** และที่สุดยอดที่สุดคือ ผลเลือดออกมา ทุกอย่างที่เคยสูงมันปรับตัวลงมาอยู่ในขั้นปกติ และสิ่งที่ทำให้เรากรี๊ดแทบสลบก็คือ เจ้า LDL ที่เราได้ต่อสู้กับมันมากกว่า 10 ปีนั้น ตอนนี้มันลดลงมาอยู่ในขั้นปกติ ที่เจ๋งไปกว่านั้นมันลงต่ำกว่า HDL (ไขมันดี) อีกตังหาก ตอนที่เห็นตัวเลขนั้นเราแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ (ไม่ได้เว่อร์ ยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่รอคอยที่มานานมาก มากกว่า 10 ปี พอเวลามาถึงมันช่างรู้สึกดีจนอยากจะร้องให้)
** สุดท้ายอันนี้ต้องบอกว่า มิราเคิล มันมีจริงนะคะ เจ้าเนื้อก้อนเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวมันหายปวดไปตั้งแต่เมื่อใหร่เราไม่รู้ เพราะไม่ทันได้สังเกตุ มารู้ว่ามันหายไปจริงๆ ก็เมื่อถึงเวลาไปตรวจมะเร็งเต้านมประจำปีช่วงกลางปี 2015 เราขอให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียด ใช้เครื่องตรวจดูทั้งแบบธรรมดา และ แบบ 3D ผลออกมาไม่เจออะไรเลย YES!!!

มาถึงตอนนี้เราเชื่อนะว่าคำว่า “You are what you eat” นั้นเป็นคำพูดที่เถียงไม่ได้จริงๆ การเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ต่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ถ้าหากเรามีจิตใจมุ่งมัน ถึงตอนนี้เราเชื่อว่า ทุกคนมี 2 ทางเลือก คือ เลือกที่จะอยู่เพื่อกิน หรือ เลือกที่จะกินเพื่ออยู่ อย่างหลายๆคนคงได้ยินกันมา “Eat to live don’t live to eat.” สำหรับเรานั้น เราตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า เราขอเลือกที่จะกินเพื่ออยู่ หรือ Eat to live….ตลอดไป แล้วผู้คุณผุ้อ่านละคะเลือกแบบใหนเอ่ย….

eat to live

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

YouTube
YouTube
Instagram